Pages

Friday, November 28, 2014

Haji Warithu เทรดเดอร์ค่าเงินชาวบรูไน

Haji Warithu เทรดเดอร์ค่าเงินอิสระชาวบรูไน เขาตัดสินใจออกจากงานประจำเพื่อเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ ด้วยเหตุผลที่ไม่ต่างจากเทรดเดอร์อิสระหลายๆคน ที่ต้องการมีเวลาให้กับครอบครัว และต้องการใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างที่ใจต้องการมากขึ้น



ก่อน ที่ Haji จะมาเป็นเทรดเดอร์อิสระ เขาทำงานในบริษัทขนส่งก๊าซ LNG (liquified natural gas) แห่งหนึ่งในประเทศบรูไน งานของเขาจะต้องเดินทางอยู่ในทะเลตลอดเป็นเดือนๆ เขาไม่ค่อยมีเวลาให้กับครอบครัวเท่าไหร่นัก จนในกระทั่งวันหนึ่ง ระหว่างที่เขาเดินทางอยู่กลางทะเลจากบรูไนไปยังประเทศญี่ปุ่นเพื่อขนส่งก็าซ LNG เหมือนดังเคย เขาเริ่มมีอาการผิดปกติบางอย่าง สุดท้ายเขาพบว่าเขาเป็นมะเร็ง !!!!! และสิ่งนี้ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปอย่างสิ้นเชิง

Haji ตัดสินใจลาออกจากงาน และใช้เวลาอยู่ที่บ้านเพื่อเทรด forex แทน โดยเขาได้เรียนรู้การเทรด forex มาจาก Rob Booker เทรดเดอร์อิสระ ผู้เขียนหนังสือ The adventure of the currency trader โดยสำหรับเขาแล้ว Rob booker เป็นแรงบันดาลใจให้เขาก้าวเข้ามาสู่อาชีพเทรดเดอร์อิสระเป็นอย่างมาก

ตอน นี้ Haji มีรายได้จากการเทรด forex เพียงอย่างเดียว การเทรดได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและทุกๆอย่างในชีวิตของเขา เขารักงานนี้ มันเป็นอะไรที่สุดยอดมากเมื่อคุณได้ทำงานที่ตัวเองรักและมันให้ผลตอบแทนที่ ดีกับคุณไปพร้อมๆกัน

เทคนิคการเทรดของ Haji
เขา เปิดเผยว่าเขาจะเน้นการเทรดสั้นๆ เข้าในจังหวะที่มั่นใจ และมีการวาง Stop loss ทุกครั้ง โดยในช่วงเริ่มต้นการเทรด เขาพยายามฝึกเทรดในจำนวน lot น้อยๆ แล้วค่อยๆเพิ่ม lot ขึ้นไปเรื่อยๆ ในจุดนี้ เทรดเดอร์มือใหม่ต้องระวัง จำไว้ว่า ในช่วงที่เพิ่งเริ่มทำกำไรได้ คุณต้องรักษาวินัยและระบบเทรดของตัวเองเอาไว้ให้มีความสม่ำเสมอ อย่าพยายาม overtrade ในช่วงเริ่มต้น คุณต้องค่อยๆก้าว จำไว้ว่าความสำเร็จนั้นมีขั้นตอน คุณเข้ามาในตลาดแห่งนี้เพื่อจะทำกำไรจากมัน ไม่ได้จะมาเป็น super star ในวงการ เพราะฉะนั้น คุณไม่ต้องเร่งจังหวะของตัวเองเกินไป เพราะการเร่งจังหวะ และการเพิ่ม lot ในขณะที่จิตใจคุณยังไม่พร้อมกับเงินที่ใหญ่ขึ้น นั่นจะทำให้คุณหมดตัวในตลาดแห่งนี้แม้คุณจะเทรดถูกทางก็ตาม

สำหรับ ระบบการเทรดของเขานั้น Haji เผยว่ามันเป็นอะไรที่เรียบง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อน โดยเขาจะใช้ indicator ไม่กี่ตัว ก็คือ Bollinger Band, CCI และ supply demand โดยการเข้า order ที่ปลอดภัยก็คือ คุณจะเข้าซื้อที่แนวรับแนวต้านเท่านั้น เขาให้เหตุผลที่ออกแบบระบบให้เรียบง่ายนั้นเพราะเขาเชื่อว่าจริงๆทุกระบบ สามารถทำกำไรได้ ดังนั้นคุณจะเลือกใช้ที่มันยากๆทำไม เพราะแท้จริงๆแล้ว คุณจะได้กำไรหรือไม่ ตัวระบบเทรดนั้นมีผลค่อนข้างน้อย สิ่งที่สำคัญคือระบบความคิดที่ถูกต้อง วินัย และ money management ต่างหากที่จะตัดสินว่าคุณจะอยู่ในอาชีพนี้ได้นานแค่ไหน

Time Frame ที่ใช้
เนื่อง จากสไตล์การเทรดของเขาเป็นแนว Scalper เน้นเก็บ PIP สั้นๆ ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะใช้ TF 15 นาทีในการเข้า order แต่เขาก็เผยว่าคุณจำเป็นต้องตรวจสอบสัญญาณที่ตรงกันใน TF ที่ใหญ่กว่าอย่าง 1 ชั่วโมง หรือ 1 วัน ด้วยในการเข้าเทรด เพื่อลดโอกาสความผิดพลาด การเทรดตามแนวโน้มเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันคุณจากความเสียหายที่รุนแรง ได้

อย่างไรก็ตาม เขาเปิดเผยว่าทุกวันนี้ สไตล์การเทรดของเขาเปลี่ยนแปลงไปจากในช่วงแรกเล็กน้อย โดยเขาจะให้ความสำคัญกับ TF ที่ใหญ่กว่าเดิม และตั้ง target มากขึ้นพอสมควร โดยการเข้า order เขาชอบที่จะตั้ง pending order ไว้ที่แนวรับแนวต้านที่เขาวิเคราะห์ไว้ และก็ตั้ง Stop loss เผื่อไว้ รวมถึงวางแผนไว้ล่วงหน้าทั้งหมดว่าจะออกที่ตรงไหน

ข้อแนะนำสำหรับมือใหม่
คุณ ต้องหวังที่จะเก็บแค่วันละ 10 PIP ก็พอ ทำไมต้องเก็บ PIP น้อยๆ ก็เพราะว่าแท้จริงแล้วการที่คุณหวังที่จะเก็บ PIP น้อยๆ อย่าง 10 PIP นั้นมันเป็นอะไรที่ง่ายและมีความเป็นไปได้ในการเทรดของคุณ แต่คุณอาจจะรู้สึกว่า 10 PIP สำหรับคุณมันน้อยเกินไป คุณหวังว่าจะได้วันละ 50 PIP คำถามก็คือ ถ้าวันนี้คุณยังขาดทุนอยู่ ไอ้ 50 PIP ที่คุณหวังมันคงไม่มีความหมายอะไรหรอก คุณควรต้องเริ่มคิดใหม่แล้วล่ะว่าการได้ 10 PIP ต่อวันมันดีกว่าการขาดทุนเพราะหวังจะได้ 50 PIP จริงไหม ก็ในเมื่อการได้ 50 PIP มันยากกว่าการได้ 10 PIP แล้วทำไมในช่วงเริ่มต้น คุณถึงไม่เลือกทำในสิ่งที่ง่ายล่ะ??

อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ คุณต้องวางแผนการเทรด เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้คุณไม่เทรดโดยใช้อารมณ์และความโลภ เชื่อเหอะว่ามันจำเป็นหากคุณอยากจะดำรงชีพด้วยการเป็น freedom trader

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/haji-warithu/?/

Sunday, November 9, 2014

พื้นฐานดี แต่เทคนิคห่วย VS. เทคนิคสวย แต่ห่วยคุณภาพ

อยู่ในตลาดมาซักระยะ คุณจะสามารถแบ่งประเภทของหุ้นได้หลากหลาย แล้วแต่ว่าจะแบ่งแบบไหน
แบบหนึ่งที่ผมแบ่งได้ ก็คือ การแบ่งตามคุณภาพ
คุณภาพของอะไร?
ผมดู 2 มุมครับ
คุณภาพของพื้นฐาน และคุณภาพทางเทคนิค ซึ่งเมื่อแบ่งออกมาแล้ว ก็ได้หุ้น 4 ประเภทดังนี้


จากภาพ ในฐานะที่ผู้อ่านก็เป็นนักลงทุนเหมือนกันกับผม คุณจะเลือกหุ้นที่อยู่ในกล่องไหน?
คำตอบที่ทุกคนตอบก็คือ ถ้าเลือกได้ ก็ขอเลือกกล่องสีเขียว นั้นก็คือ พื้นฐานดี + กราฟสวย นั้นเอง

พื้น ฐานดี ดียังไง กราฟสวย สวยยังไง ไม่ขอเอ่ยถึงในบทความตอนนี้นะครับ เพราะนิยามของคำว่าดีแต่ละคนอาจจะมีแตกต่างในรายละเอียด เอาเป็นว่า พื้นานดี กราฟสวย ในสายตาของแต่ละคนก็แล้วกัน

กล่องที่ไม่มีใครเลือกลงทุนแน่ๆหากวิเคราะห์หุ้นตัวนั้นแล้ว ก็คือ กล่องสีแดง หรือ พื้นฐานห่วย + กราฟไม่สวย อันนี้ก็เห็นตรงกันนะ

หาก คุณลองแบ่งหุ้น แบ่งกองทุน หรือ หลักทรัพย์อะไรก็แล้วแต่ตามคุณภาพของพื้นฐานและกราฟเทคนิค หุ้นจะตกอยู่ใน 4 ประเภทนี้ไม่นี้ไปไหน และถ้าเจอกล่องสีเขียว คุณก็จะกด Favorite หรือเอาไว้ใน Watchlist ทันที บางทีก็เคาะซื้อเลยด้วยซ้ำ

แต่ในโลก ความเป็นจริง เวลาเรานั่งวิเคราะห์ไปเรื่อยๆ หุ้นที่จะตกอยู่ในกล่องสีเขียว มักจะไม่ค่อยมี สาเหตุเพราะ ถ้าหุ้นมันดีจริง มันต้องมีคนซื้อไปหมดแล้ว จริงม๊ะ? ยกเว้นหุ้นที่มีการเปลี่ยนปัจจัยบางอย่างอย่างฉับพลัน ยกตัวอย่างเช่น ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายแล้วชนะคดี หรือ กำไรสุทธิโตกว่าที่คาด 50% อะไรประมาณเนี่ย หุ้นจำพวกนี้อาจสามารถขึ้นได้หลายๆเด้ง ซึ่งมันก็มีไม่เยอะอีกนั้นหล่ะ

แล้วหุ้นอะไรที่เราเจอบ่อยๆ?
คำตอบ หุ้นที่อยู่ในกล่องสีส้ม และกล่องสีฟ้า นั้นเอง

ใน ภาวะที่ตลาดขาขึ้นเป็นระยะเวลายาวนาน ปรับฐานทีไรก็ย่อตัวไม่แรง ราคาไม่ถูกจนต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานซักที เราจะหาหุ้นที่กำไรดีและราคายังถูกแทบไม่เจอ กลับเจอแต่หุ้นที่ไม่สมประกอบ พื้นฐานดีสุดๆ แต่ราคานิ่งไม่ไปไหน (กราฟบอกว่ายังไม่ขึ้น) เจอแบบนี้ซื้อไป ก็กลัวไม่วิ่งตามคนอื่น หรือ กราฟสวยเว่อร์ แต่หันไปเจองบ แล้วอยากสงบดีกว่า เจอแบบนี้ ซื้อไปก็กลัวโดนแรงขายออกมาอีก เปรียบได้เหมือนกับช่วงนี้นะครับ ที่ระดับดัชนีตรง 1,200 จุด ไม่ต้องใครนักวิเคราะห์มาบอก เราก็รู้ว่า ตรงนี้ มันไม่ถูกแล้ว

แล้วถ้าอยากถือหุ้นเข้าพอร์ตละ เลือกอันไหน?
นี่คือประเด็นของหัวข้อนี้
  ถ้าเราต้องตัดสินใจลงทุนหุ้นพิการ (ดีไม่ครบ 2 อย่าง) เราจะเอาพิการทางไหน พิการทาง Fundamental หรือ พิการทาง Technical

คำตอบที่ถูกต้องคือ ……. ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องครับ อ้าววววววว

นัก ลงทุนระยะยาว รับความเสี่ยงได้สูง ไม่มีเวลาในการติดตามตลาด คนเหล่านี้ เขาเหมาะกับการซื้อหุ้นปัจจัยพื้นฐาน โดยไม่ต้องไปสนว่า ตอนนี้กราฟจะสวยไม่สวย เพราะเขาเชื่อว่ายังไงในอนาคตอันไกลมันต้องวิ่งไปอยู่ดี
นักลงทุนระยะ สั้น ผู้รับความเสี่ยงได้สูง มีเวลาเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของตลาด เขาก็อาจเหมาะกับหุ้นกราฟสวย ไม่สนใจพื้นฐาน สาเหตุก็เพราะ เขาเล่นสั้น ไม่ได้จะรอให้งบออกค่อยขายซะหน่อย ได้กำไรปั๊บ เดี๋ยวก็ขายออกแล้ว ดังนั้น ปัจจัยพืันฐานสำหรับเขาจึงมีน้ำหนักน้อยกว่า

แต่ก็มีนักลงทุนอีกแบบ
เขา คิดว่า ถ้าหุ้นตัวนั้น มันไม่ได้อยู่ในกล่องสีเขียว หัวเด็ดตีนขาดฉันก็จะไม่ซื้อ นักลงทุนกลุ่มนี้ก็จะเลือกรอเวลาอย่างใจเย็น และคอยหาจังหวะที่ คุณภาพทั้ง 2 มุม เข้าเงื่อนไขอย่างที่ตั้งไว้ เขาอาจจะพลาดโอกาสการเข้าซื้อ ถ้าหุ้นมันไม่ปรับตัวลงมาอย่างที่มองไว้ แต่เขาก็ยอมรับได้ ไม่คิดเสียดายทีหลัง

จากตัวอย่างนักลงทุนทั้ง 3 ประเภท ลองสำรวจดูนะครับ คุณเป็นนักลงทุนประเภทไหน?

เมื่อคุณรู้ตัว คำถามที่ว่า  พื้นฐานดี แต่เทคนิคห่วย VS. เทคนิคสวย แต่ห่วยคุณภาพ เลือกอันไหนดี? ก็จะไม่มีให้คาใจ

ไม่ ว่าจะเป็นคนธรรมดา หรือว่าเป็นนักลงทุน สิ่งสำคัญที่เราต้องรู้ก็คือ “รู้จักตัวเอง” เพราะถ้าคุณไม่รู้จักตัวเอง คุณก็จะเที่ยวแสวงหาสิ่งที่ทำให้คุณพอใจเพียงอย่างเดียว โดยหารู้ไม่ว่า สิ่งที่พอใจ มันไม่ได้หมายความว่ามันจะเหมาะกับคุณ แต่ถ้าเราเจอสิ่งที่เหมาะกับจริต นิสัยเรา มันจะเหมาะกับเราไปตลอด เพราะนิสัยมันเป็นเรื่องแก้ยากที่สุด เปลี่ยนยากที่สุด คุณว่าจริงไหม

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/vs/?/